โลกแห่งการค้นหา..เพื่อชีวิต

กลยุทย์ในธุรกิจขายเสื้อผ้าแฟชั่น ของบริษัทซาบีน่า ตอนที่6

[ ภาวะการแข่งขันในประเทศ ] ตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นชุดชั้นในภายในประเทศเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงในทุกระดับราคา โดยมีผู้ประกอบการหลายรายในอุตสาหกรรมชุดชั้นใน เช่น บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตชุดชั้นในตรา “Wacoal” บริษัท ไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตชุดชั้นในตรา “Triumph” และบริษัทฯ ผู้ผลิตชุดชั้นในตรา “Sabina” และยังมีผู้ผลิตรายย่อยซึ่งผลิตชุดชั้นในโดยไม่มีเครื่องหมายการค้าจำนวนมากรองรับตลาดผู้บริโภคที่คำนึงถึงราคาเป็นประเด็นหลักในการเลือกซื้อสินค้า โดยหากแบ่งสัดส่วนตลาดโดยประมาณแล้ว บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) จะมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด รองลงมาจะเป็นบริษัทฯ และบริษัท ไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งปัจจุบัน เนื่องจากตลาดชุดชั้นในโดยรวมในประเทศมีอัตราการเติบโตไม่สูงนัก ทำให้ทุกแบรนด์ทั้งแบรนด์ที่เป็นผู้นำและผู้ตาม ต้องหันมาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดกันอย่างหนัก โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา, ประชาสัมพันธ์, การตลาดทางตรง และที่มีการแข่งกันกันมากที่สุดจะเป็นการส่งเสริมการขาย ในการจัดโปรโมชั่นลดราคากันมากยิ่งขึ้น นอกจากการแข่งขันระหว่างบริษัทผู้ผลิตภายในประเทศ ยังมีการแข่งขันจากผู้ผลิตชุดชั้นในชั้นนำจากต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดผู้บริโภคระดับบน สำหรับตลาดผู้บริโภคที่คำนึงถึงราคาเป็นประเด็นหลัก มีการแข่งขันจากชุดชั้นในนำเข้าราคาประหยัดจากผู้ผลิตจากประเทศใกล้เคียง เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำ เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี เป็นต้น [ การนำเข้าสินค้าประเภทชุดชั้นใน ] จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปี 2552 อัตราการนำเข้าอยู่ในลักษณะคงตัวมาโดยตลอด แต่ในปี 2553 ที่ผ่านมา มีอัตราการนำเข้าชุดชั้นในเติบโตสูงขึ้นเป็นอย่างมากโดยสูงขึ้นถึง 21%และต่อเนื่องไปถึงปี 2554 ที่ยังคงสูงขึ้นถึง 13% หรือคิดเป็นการนำเข้าสูงถึง 124 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนหนึ่งคาดว่าจากข้อตกลงทางการค้า AFTA ซึ่งได้เริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อ 1 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งการนำเข้าที่สูงขึ้นดังกล่าว เป็นการส่งสัญญาณถึงแบรนด์ หรือสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในประเทศมากยิ่งขึ้น ทำให้คาดว่าในปี 2555 การแข่งขันตลาดชุดชั้นในในประเทศจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่า ประเทศไทยยังคงมีการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนมากเป็นอันดับหนึ่ง และมีการเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 410 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่า 2033 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ซึ่งคาดว่าเป็นการนำเข้าของกลุ่มดีสเคาท์สโตร์ ที่มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนซึ่งมีราคาถูกเข้ามาจำหน่ายในห้างของตนเองมากขึ้น(เสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูก) แต่ขณะเดียวกัน การนำเข้าของประเทศฮ่องกงกลับลดลงเป็นอย่างมาก แต่กลับมีการนำเข้าจากประเทศเวียดนามและบังคลาเทศเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก คาดว่าจะเป็นการนำเข้าของแบรนด์จากต่างประเทศ ที่ว่าจ้างประเทศทั้ง 2 ประเทศ ดังกล่าวผลิต